มาตรการใหม่นี้ครอบคลุมการเก็บภาษีนำเข้าระดับสูงจากจีน แคนาดา และยุโรป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศผู้ส่งออกไม้รายใหญ่เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ โดยมีผลต่อไม้หลายชนิด เช่น ไม้สน ไม้เบญจพรรณ และไม้อัด ซึ่งปกติแล้วมีต้นทุนต่ำกว่าไม้ภายในประเทศ
สมาคมผู้รับเหมาก่อสร้างแห่งชาติสหรัฐฯ (AGC) ระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีไม้แปรรูปทำให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-12% ในทันที และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกหากไม่มีมาตรการบรรเทา ส่งผลให้หลายบริษัทต้องเร่งเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชนจากการนำเข้า มาเป็นการจัดซื้อจากภายในประเทศหรือจากพันธมิตรนอกขอบเขตภาษี เช่น เม็กซิโก ชิลี และอินโดนีเซีย
“บริษัทก่อสร้างจำนวนมากได้ทำสัญญาระยะยาวกับซัพพลายเออร์ไม้จากต่างประเทศ การเปลี่ยนทิศทางซัพพลายเชนไม่ใช่เรื่องง่าย” โฆษกของ AGC กล่าว พร้อมเตือนว่าความไม่แน่นอนอาจนำไปสู่การชะลอโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายรัฐ โดยเฉพาะบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์
ในขณะที่บริษัทก่อสร้างได้รับผลกระทบเชิงลบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่อุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศกลับได้รับแรงหนุนอย่างชัดเจน ราคาขายไม้สนและไม้โอ๊คจากรัฐโอเรกอน วอชิงตัน และจอร์เจียพุ่งขึ้นกว่า 15% ภายในไม่กี่วัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
นอกจากนี้ โรงเลื่อยไม้และธุรกิจแปรรูปไม้ภายในประเทศยังมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากรัฐแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส ซึ่งมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมาก
“นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมป่าไม้ในสหรัฐฯ ที่ซบเซามาหลายปี” ตัวแทนจากสมาคมผู้ผลิตไม้แห่งชาติกล่าว พร้อมเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกป่าเชิงพาณิชย์และปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเตือนว่าการเพิ่มการผลิตไม้ภายในประเทศโดยไม่มีแนวทางควบคุม อาจนำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่อนุรักษ์หรือเขตป่าเอกชนที่ไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน
องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดนโยบายควบคุมการตัดไม้และส่งเสริมการใช้ไม้จากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น FSC (Forest Stewardship Council) เพื่อป้องกันผลกระทบระยะยาวต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลต่อภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมไปยังตลาดไม้โลก ประเทศผู้ส่งออกไม้ เช่น แคนาดา เริ่มหาตลาดใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะที่ผู้ผลิตไม้ในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย กำลังเพิ่มการเจรจาทางการค้าเพื่อเข้ามาแทนที่ซัพพลายเดิมของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าในระยะกลาง ตลาดไม้ทั่วโลกจะมีการจัดระเบียบใหม่ และประเทศที่สามารถผลิตไม้คุณภาพสูงในราคาสมเหตุสมผลโดยไม่เจอข้อจำกัดทางการเมือง จะมีบทบาทเพิ่มขึ้น