จากรายงานของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น (MAFF) ระบุว่า รัฐบาลมุ่งเน้นเพิ่มการใช้ไม้แปรรูปในอาคารที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Wood First” ที่ตั้งเป้าหมายลดการพึ่งพาวัสดุก่อสร้างที่ใช้พลังงานสูง เช่น เหล็กและปูนซีเมนต์ โดยหันมาใช้ไม้ซึ่งสามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายใต้นโยบายนี้ อาคารของรัฐที่มีความสูงไม่เกินสามชั้นจะต้องพิจารณาใช้โครงสร้างไม้เป็นทางเลือกแรก นอกจากนี้รัฐบาลยังเตรียมมาตรการส่งเสริมทางภาษีและเงินอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากไม้ในโครงการก่อสร้าง

การขยายการใช้ไม้ในโครงสร้างอาคารในญี่ปุ่นไม่ได้อิงแค่ไม้ธรรมดาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไม้แปรรูปที่ผ่านกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น CLT (Cross Laminated Timber) และ Glulam ซึ่งเป็นไม้ประกอบที่ให้ความแข็งแรงและสามารถใช้งานได้ในระดับโครงสร้างหลักของอาคารขนาดใหญ่

บริษัทก่อสร้างในญี่ปุ่น เช่น Obayashi Corporation และ Sumitomo Forestry ได้เริ่มทดลองใช้อาคารไม้สูงในเมืองใหญ่ รวมถึงการพัฒนาแบบจำลองอาคารไม้สูงกว่า 10 ชั้นในโตเกียว เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม้สามารถเป็นวัสดุก่อสร้างหลักได้แม้ในเขตเมืองที่มีความหนาแน่นสูง

นโยบายนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรม “ไม้” ในประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีแหล่งป่าธรรมชาติและป่าปลูกขนาดใหญ่

การใช้ไม้ในอาคารสาธารณะยังช่วยเพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์ไม้ในประเทศ ซึ่งส่งผลให้มีการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในแง่ของการปลูกป่าทดแทนและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

นโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นในการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์จากไม้ในภาคการก่อสร้างสะท้อนถึงทิศทางใหม่ของประเทศที่ต้องการผสมผสานความยั่งยืนเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ “ไม้” เป็นวัสดุหลักในอาคารสาธารณะไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับชุมชนและอุตสาหกรรมไม้ทั่วประเทศ

หากการดำเนินงานตามนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ ก็อาจเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ ในเอเชียและยุโรปพิจารณาใช้ไม้แปรรูปอย่างจริงจังในภาคการก่อสร้างมากขึ้นในอนาคต